9 Mindsets พิชิตตลาดหุ้น สำหรับนักลงทุนมือใหม่
(9 Essential Mindsets for a Beginning Investor)

โดย ณาศิส ประเสริฐสกุล, CISA (นายหมูบิน)

แน่นอนครับว่าถ้าคุณเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในตลาดหุ้นเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์การลงทุนแบบใดก็ตาม คำถามแรกที่เกิดขึ้นในใจของทุกท่านคือฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี ?”

ซึ่งก็อย่างที่เราๆทราบกันดีนั้นล่ะครับว่านักลงทุนที่เข้ามาในตลาดหุ้นนั้น ต่างมีวัตถุประสงค์ หรือความต้องการที่แตกต่างกัน ถ้าพูดในแบบวิชาการก็ต้องบอกว่ามีระดับการยอมรับความเสี่ยงหรือ “Risk Tolerance” ที่แตกต่างกัน ตามความคาดหวังหรือ “Objective” และข้อจำกัดหรือ “Constrain” ของนักลงทุนแต่ละท่าน แต่ถ้าจะพูดในแบบบ้านๆเอาให้เข้าใจง่าย คือวัตถุประสงค์ของนักลงทุนแต่ละคนในตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กันความโลภหรือ “Greed” ของนักลงทุนแต่ละคนต่างหาก เพราะถ้าโลภมาก็ต้องแลก หรือ Trade-Off มาด้วยระดับความไร้เหตุผลหรือ “Irrational” ที่มากขึ้นไปด้วย

ดังนั้นจากที่ผมกล่าวมาในข้างต้นจะเห็นได้ว่าการจะตอบคำถามของนักลงทุนหน้าใหม่ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรให้เหมาะสมกับนักลงทุนทุกคนที่กำลังจะก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น ซึ่งตามสถิติมีสัดส่วนคนที่ล้มเหลวกลับไปมากกว่าประสบความสำเร็จหลายเท่านั้น ถือเป็นเรื่องที่ยากมากๆ

อย่างไรก็ดีเราน่าจะพอหาคำตอบในสิ่งที่เราต้องการได้บ้าง จากเป้าหมายเบื้องต้นซึ่งนักลงทุนทุกคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นต่างก็ต้องการเหมือนๆกันแน่นอน คือไม่ต้องการขาดทุนซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดในการหลีกเลี่ยง หรือป้องกันพอร์ตการลงทุนของเราจากการขาดทุน ก็คือการมีแผนการลงทุนที่ดี ดังนั้นแน่นอนว่าสำหรับนักลงทุนที่เป็นมือใหม่ในตลาดหุ้น สิ่งแรกที่จำเป็นต้องเรียนรู้ และลงมือทำ คือการวางแผนการลงทุนที่ดีและมีวินัยกับมันนั้นเอง

ทั้งนี้การขอแค่รักษาเงินต้นเมื่อหักด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วได้ หรือสามารถชนะอัตราเงินเฟ้อได้ฟังดูเหมือนจะง่าย แต่ในทางปฏิบัติผมเชื่อว่านักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นมายาวนานจะทราบว่าไม่ง่ายนะครับ ดังนั้นสิ่งที่ผมจะนำมาเสนอในครั้งนี้คือกฎ หรือแนวคิดพื้นฐานที่อาจจะช่วยปรับมุมมองต่อการลงทุน และทำให้การลงทุนของคุณมีวินัยการลงทุน (Disciplined), มีเหตุมีผล (Rational) และมีแผนการลงทุนที่ดี (Well-Thought-Out Plan) มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่เน้นการวิเคราะห์พื้นฐาน หรือทางเทคนิคก็ตาม

#Mindset 1 : สร้างแผนการลงทุนที่สามารถบรรลุเป้าหมายในระยะยาวได้

(Look for your plan to achieve long-term goals)

ในโลกแห่งความเป็นจริง การทำอะไรก็แล้วแต่ที่หวังให้เกิดผลในระยะสั้น จะเป็นตัวเพิ่มข้อจำกัด และมักตามมาด้วยความเสี่ยงที่จะผิดหวังมากขึ้น ดังนั้นการกำหนดแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนในระยะยาว จะทำให้การลงทุนของเรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากข้อจำกัดการลงทุนที่ลดลง ทั้งในด้านของความต้องการสภาพคล่อง (อาจทำให้เราต้องขายหุ้นที่ดีออกเร็วเกินไป), ระยะเวลาการทุน (หลักการง่ายๆคือยิ่งลงทุนสั้นมากเท่าไรก็ยิ่งมีเวลาคิดน้อยลง และใช้ดวงมากขึ้นเท่านั้น) และการกระจายความเสี่ยง (การกระจายความเสี่ยงที่ดี ต้องมีระยะเวลาที่เพียงพอให้ราคาสินทรัพย์นั้นๆสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงด้วย) เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายการลงทุนด้วย

ขณะที่การกำหนดเป้าหมายการลงทุนในระยะยาว จริงๆก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอะไรหลอกครับ แค่เราต้องระบุให้ได้ว่า

  • แหล่งที่มาของเงินลงทุนจะมาจากไหนบ้าง และมีจำนวนเท่าไร ?
  • เรามีเป้าหมายที่จะเอาเงินลงทุนที่จะงอกเงยขึ้นไปทำอะไร ?
  • จำนวนเงินเท่าไรที่เราคิดว่าจะทำให้บรรลุเป้าที่ว่าได้  ?
  • ระดับการสูญเสียสูงที่สุดที่เรารับได้คือเท่าไร ?

ถ้าเราตอบคำถามเหล่านี้ได้ เราก็สามารถคำนวณได้ไม่ยากแล้วว่าเราต้องใช้เวลาในการลงทุนกี่ปี และผลตอบแทนต่อปีควรเป็นเท่าไร จากนั้นก็จะเข้าไปสู่กระบวนการจัดพอร์ต และนโยบายการลงทุนแล้วหละครับ ว่าเราควรลงทุนในแต่ละสินทรัพย์เป็นสัดส่วนเท่าไร (Asset Allocation), ตราสารตัวไหนบ้าง (Security Selection) และเมื่อไรควรที่จะเข้าลงทุน (Market Timing)

 

#Mindset 2 : เริ่มการลงทุนเมื่อพร้อมที่สุดเท่านั้น

(Don’t jump the gun)

ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเรียนรู้ฉันใด ก็ไม่มีคำว่าสายสำหรับการลงทุนที่ประสบความสำเร็จฉันนั้น ความพร้อมด้านความรู้ และความเข้าใจในเครื่องมือ รวมทั้งศาสตร์การลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับการติดกระดุมเม็ดแรกในการลงทุน

ทั้งนี้หากต้องการเดินเข้ามาหยิบเงินออกไปจากตลาดหุ้น กฎเกณฑ์สำคัญข้อหนึ่งที่คุณจำเป็นต้องสำนึกไว้เสมอ คือการลงทุนในตลาดหุ้นเป็น “Zero Sum Game” คือ จะมีคนได้เงิน และมีคนเสียเงินเป็นจำนวนเท่าๆกันตลอดเวลา

ดังนั้นถ้าท่านชนะท่านจะกำไร แต่ถ้าท่านแพ้ท่านจะขาดทุน ขณะที่คุณสมบัติสำคัญ คือ ยิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไร คุณยิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้นเท่านั้น ทำให้คำกล่าวที่ว่า คนโง่มักเป็นเหยื่อของคนฉลาด แต่คนฉลาดก็อาจพ่ายแพ้คนที่ขยันศึกษา และมีความรู้ได้ เป็นความจริงในตลาดหุ้นมาอย่างยาวนาน

#Mindset 3 : กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือกลยุทธ์ที่สามารถใช้ได้จริง

(The optimal strategy must be practical) 

กลยุทธ์ที่ดีที่สุด (Optimal Strategy) ไม่ใช่กลยุทธ์ที่เน้นสร้างผลตอบแทนในระยะสั้นที่สูงที่สุด แต่ต้องเป็นกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับแผนการลงทุน และสามารถทำให้เราบรรลุเป้าหมายการลงทุนในระยะยาว (Long-Term Investing Plan and Goals) ได้

ซึ่งก็ดูไม่ยากครับ คือถ้าพิจารณาแผน หรือกลยุทธ์การลงทุนที่เราใช้อยู่ หรือกำลังจะเลือกใช้แล้วพบว่าคุณอาจไม่สามารถทำตาม หรือมีวินัยกับมันได้ เนื่องจากมันอาจซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ, มีความผันผวนของผลตอบแทนเกินกว่าจะรับได้, มีจำนวนการทำธุรกรรม หรือ Transaction ที่เกี่ยวข้องสูงเกินกว่าจะติดตาม หรือทำตามได้ รวมทั้งระยะเวลาในการลงทุน และติดตามไม่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตปกติ ก็แสดงว่าแผน หรือกลยุทธ์การลงทุนนั้น ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีที่สุด (Optimal Strategy) ของเรา

แน่นอนว่าผลตอบแทนสูงๆย่อมดีกว่าผลตอบแทนต่ำๆ แต่แผน หรือกลยุทธ์การลงทุนที่เราไม่สามารถมีวินัย หรือปฏิบัติตามได้อย่างเคร่งครัด …… จงอย่าใช้มัน !

 

#Mindset 4 : สร้างกฎการลงทุนให้อยู่เหนืออารมณ์ตัวเอง

(Set up procedures to keep your emotions in check)

การสร้างกระบวนการเพื่อควบคุมอารมณ์ (Emotion) และการตัดสินใจ (Making Decision) ของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการลงทุน เพราะในความเป็นจริงๆแล้วถ้าท่านนักลงทุนพิจารณาให้ดีจะพบว่าอุปสรรคสำคัญของการไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการลงทุน หรือการบริหารพอร์ตการลงทุน ไม่ได้อยู่ที่การเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ, ธนาคารกลาง, มูลค่าหุ้น หรือนักลงทุนกลุ่มต่างๆในตลาดหุ้น แต่อยู่ที่การตัดสินใจของเราต่างหาก

ดังนั้นนักลงทุนควรกำหนดกระบวนการ หรือกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อควบคุมอารมณ์ (Emotion) และการตัดสินใจ (Making Decision) ของตัวเอง เช่นเงื่อนไขในการขายหุ้น (Sell Rules), จำกัดความถี่ในการเข้าไปดูพอร์ต (Limiting how often you check your portfolio) , เงื่อนไขในการปรับพอร์ต (Triggers to periodically adjust your portfolio) และเงื่อนไขในการปรึกษาที่ปรึกษาการ
ลงทุน (Triggers to consult with an investment adviser)

 

#Mindset 5 : คิด และลงทุนต่างจากคนส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องผิด

(Think and invest different)

การคิด และค้นหาโอกาสการลงทุนที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในตลาด หรือ Crowds นอกจากจะช่วยเพิ่มทักษะ และความชำนาญในการลงทุนให้กับตัวเองแล้ว ยังช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงการถูกชักจูงไปในทางที่ผิดได้ด้วย หลักคิดง่ายๆคือทำไมเราต้องไปลงทุนเหมือนกับคนส่วนใหญ่ในตลาดด้วย แน่นอนว่าการคิด และค้นหาโอกาสการลงทุนที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในตลาด จะทำให้เราเหนื่อยมากขึ้น แต่ถ้าเราลงทุนเหมือนคนอื่นๆในตลาด เราจะสามารถชนะตลาดหุ้นได้อย่างไร คำตอบมันมีอยู่ในคำถามอยู่แล้ว

#Mindset 6 : นำความเห็นของคนส่วนใหญ่มาสร้างความได้เปรียบ

(Use the wisdom of the crowds to your advantage)

แน่นอนว่าการคิดแตกต่างไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่น ตรงกันข้ามยิ่งคุณรู้ และเข้าใจการกระทำของคนอื่นโดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ในตลาด หรือ Crowds มากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสที่จะชนะตลาดหุ้นมากขึ้นเท่านั้น แต่แค่รู้สึกว่าคุณมีความรู้ และเข้าใจ Crowds อย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะการตัดสินใจลงทุนโดยใช้ความรู้สึกคือการฆ่าตัวตายที่น่าอนาถที่สุด

แล้วต้องทำยังไงคงต้องใช้ความรู้ทางการลงทุนเข้ามาประกอบด้วย เช่นถ้าคุณอยากรู้ว่าเมื่อไรที่ Crowds จะซื้อ หรือขายหุ้นตัวที่คุณกำลังลงทุน หรือสนใจอยู่ คุณอาจพิจารณาจากระดับ P/E ของหุ้นตัวนั้น เทียบกับกรอบค่าเฉลี่ยในอดีต หรือ P/E Bands ก็ได้ ซึ่งคุณอาจจะได้คำตอบว่า P/E ที่ระดับใด Crowds ถึงจะซื้อ หรือขายหุ้นตัวที่คุณกำลังดูอยู่

หรือแม้กระทั่งการปรับประมาณการกำไร หรือ Earnings Estimate Revisions ของนักวิเคราะห์ก็พอจะบอกเราได้บ้างว่า ณ เวลานั้นๆ Crowds มีมุมมองอย่างไรกับหุ้นที่เราดูอยู่

#Mindset 7 : ยิ่งราคาแพงมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสทำให้ผิดหวังมากเท่านั้น

(Higher Valuations = More Room for Disappointment)

หลักการเบื้องต้นที่สุดของการลงทุนในหุ้น แต่คนส่วนใหญ่มักไม่คิดถึงมัน คือถ้าเราต้องการได้เงินจากการลงทุนในตลาดหุ้น เราควรเลือกลงทุนในหุ้นที่ราคายังคงต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือ Undervalued ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวของราคา และมูลค่าที่แท้จริงจะเป็นเหมือนหลักประกันว่าถ้าสิ่งที่เราประเมินถูกต้องโอกาสที่เราจะกำไรต่ำที่สุดคือเท่าไร หรือที่เรียกว่า Margin Safety ขณะที่มีคนจำนวนมากลงทุนในหุ้นที่รู้อยู่แล้วว่าราคาของมันสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือ Overvalued เพียงเพราะเชื่อว่ามันจะ Over แล้ว Over อีกไปเรื่อยๆ ซึ่งความคิดแบบนี้ทำให้การลงทุนไม่มี Margin Safety เลย

ดังนั้นทุกครั้งที่คุณจะใส่เงินเข้าไปในหุ้นตัวใดคุณต้องมั่นใจ 100% ว่าหุ้นตัวนั้นราคายังคงต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือ Undervalued นอกจากนี้ยิ่งคุณมีความรู้ หรือข้อมูลของหุ้นที่คุณลงทุนมากเท่าไร โอกาสที่จะผิดพลาดก็จะยิ่งน้อยลง

#Mindset 8 : คำนึงถึงการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเสมอ

(Manage your costs more efficiently)

การลดต้นทุนในการลงทุนนี้ ผมไม่ได้หมายความว่าเราต้องพยายามจ่ายให้น้อยที่สุด แต่ผมหมายถึงการจ่ายอย่างสมเหตุสมผล และมีประสิทธิภาพที่สุดมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ในการซื้อขายหุ้น แทนที่คุณจะพยายามหาโบรกเกอร์ที่คิดค่าคอมมิชชั่นต่ำที่สุด คุณควรไปลดความถี่ของการซื้อขายที่บ่อยเกินไป หรือไม่เป็นไปตามแผนการลงทุนในระยะยาวของเรามากกว่า เพราะสิ่งที่คุณต้องรู้อย่างหนึ่งคือถ้าโบรกเกอร์เก็บค่าคอมมิชชั่นต่ำมากๆ ก็มีความเป็นไปได้ที่คุณอาจไม่ได้รับบริการบางอย่างที่คุณควรจะได้ไป หรือได้ก็ไม่มีคุณภาพ เช่นงานวิจัย หรือบทวิเคราะห์ เป็นต้น

นอกจากนี้คุณควรพิจารณาถึงการวางแผน หรือตระหนักถึงภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของคุณด้วย

 

#Mindset 9 : พัฒนาแผนการลงทุนให้ชัดเจน และสอดคล้องกับเป้าหมาย

(Develop a consistent, well-defined approach to investing)

แม้จะพูดว่าเป็นเป้าหมายการลงทุนระยะยาว แต่การติดตาม และตรวจสอบผลการลงทุน หรือ Feedback Process ควรมีขึ้นอย่างน้อยไตรมาสละ 1 ครั้ง เพื่อที่นักลงทุนจะได้ประเมินความเหมาะสมของเป้าหมาย และนโยบายการลงทุน เพื่อให้ในกรณีที่ต้องมีการปรับแก้จะได้สามารถทำได้ทันท่วงที่

การสร้าง หรือพัฒนาแนวทางการลงทุนที่ชัดเจน และสอดคล้องกับเป้าหมายในระยะยาวเป็นสิ่งจำเป็น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือคุณต้องมีวินัยกับมัน โดยไม่สนใจว่าภาวะตลาดหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงสั้นๆจะเป็นอย่างไร

เนื่องจากสถิติ หรือกรณีศึกษาด้านการลงทุนที่เกิดขึ้นทั่วโลก มักระบุไปในทางเดียวกันคือนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ (Successful Investor) จะต้องมีแผนการลงทุนที่ถูกสร้างขึ้นบนฐานของปัจจัย และกลยุทธ์การลงทุนที่เชื่อว่าจะสามารถใช้ได้ในระยะยาว